วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ล.รัก ล.ลิลิต ลิลิตพระลอ...ละครเวทีร่วมสมัย

เพราะทำงานเกี่ยวกับคนป่วย เมื่อไหร่ที่มีโอกาสจึงพยายามหาอะไรสวยๆ งามๆ ใส่สมองบ้าง มีโอกาสได้ไปดูละครเวทีเรื่อง ล.รัก ล.ลิลิต ลิลิตพระลอ มาหมาดๆ (เมื่อคืนนี้เอง) เปิดทำการแสดง ณ ภัทราวดีเธียเตอร์ โรงละครกลางสวน ซอยวัดระฆัง



โดยดัดแปลงมาจากนิทานล้านนาเรื่อง ลิลิตพระลอ ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่ถูกบรรจงแต่งขึ้นอย่างประณีตงดงาม มีความไพเราะของถ้อยคำ และเต็มไปด้วยสุนทรียศาสตร์ จนได้รับยกย่องจาก ‘วรรณคดีสโมสร’ ให้เป็นยอดแห่งลิลิตของไทย มาจัดสร้างเป็นการแสดงใน Style Thai Contemporary ผ่านศิลปะการแสดง ดนตรีและนาฏศิลป์ไทยร่วมสมัย

ครูเล็ก ภัทราวดี มีชูธน (ผู้กำกำการแสดง) นำเสนอแบบละครซ้อนละคร ที่มีตัวละครยุคใหม่ ดนตรีสมัยใหม่ นำแสดงโดย สราวุฒิ มาตรทอง และ ลานนา คัมมินส์ รวมทั้งการนำศิลปินมือไวโอลินระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา (Kyle Dillingham) มาเชื่อมโลกแห่งวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ยิ่งทำให้เรื่องราวธรรมะสามารถเข้าถึงคนยุคใหม่และนำมาใช้จริงในเหตุการณ์ยุคปัจจุบันได้ง่ายดายมากขึ้นอีกด้วย



ปูพื้นกันแล้ว...

สำหรับฉันผู้ที่ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับการละคร รวมทั้งรายละเอียดเชิงลึกของวรรคดีเรื่องนี้
จะว่าไปก็แทบจำเนื้อเรื่องไม่ได้ จำได้เพียงกลอนบทดังๆของเรื่องเท่านั้น เช่น

ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น อยู่นา
ตามแต่บาปบุญแล้ ก่อเกื้อรักษา


หรือ

เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเผือพี่หลับไหล ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ




ละครวางโครงเรื่องได้อย่างแยบยล โดยนำสิ่งที่วรรณคดีสอน มาใส่ในละครซ้อนละคร โดยการเล่าเรื่องราวในวรรณคดี สลับกับฉากปัจจุบัน เพื่อให้เราเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น และขยายความเพิ่มเติมในสิ่งที่ผู้กับกำต้องการสอนสอดแทรกลงไป ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวความรัก กับ ความหลง, Love กับ Sex, และการยึดติด โดยใช้ทั้งสัญลักษณ์ เช่น ไก่แก้ว คือเครื่องล่อ หรือตัวกระตุ้นเร้าให้หลง เป็นต้น และคำสอนของผู้รู้ในบทสนทนาระหว่างตัวละคร เมื่อดูจนจบรับรองได้ว่าคุณจะรู้เรื่องราวของ ลิลิตพระลอ ต้นฉบับโดยละเอียด พร้อมกับเข้าถึงสิ่งที่วรรคดีพยายามสอนอย่างแน่นอน

เพลงที่นำมาใช้ล้วนเป็นเพลงที่เราคุ้นเคย นำมาเรียบเรียงใหม่ ทั้งแบบบรรเลง ที่บรรเลงโดยนักไวโอลิน (ระดับโลกซะด้วย) เพราะมากจนทำให้เพื่อนที่ไปด้วยกันอยากจะวิ่งออกไปซื้อซีดีหน้าโรงมาเก็บเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว ประกอบกับนักร้องหลักสองคน คนแรกเป็นชายผู้มากความสามารถ สามารถขับเสภาด้วยเสียงที่ไม่เข้ากับตัวเลยจริงๆ(คุณคงคิดว่าคนขับเสภาต้องแก่ แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่)และนักร้องสาวร่างอวบ น้ำเสียงทรงพลัง ผู้สามารถร้องโอเปร่า และสามารถทำเสียงได้เหมือนตุ๊กแกได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

มีการร้อง แหล่ ขับ ร่าย ผสมการพูด เรียกว่ามีทุกรูปแบบของการใช้เสียงก็ว่าได้ ติว่าบางช่วงเพลงที่เป็นพื้นดังกว่าเสียงคนเพราะบางจุดเป็นการร่ายกลอน ซึ่งเป็นภาษาโบราณอยู่แล้ว ฟังยากขึ้นไปอีก ทำให้ไม่รู้เรื่องว่ากำลังพูดหรือร้องอะไร

การเปลี่ยนฉากใช้กระจกเป็นตัวช่วย แม้จะดูง่าย แต่ก็ทรงพลังได้อย่างไม่น่าเชื่อ และการจัดแสงที่สวยมากๆ ดูเพลินตา ไม่เบื่อเลยสักตอน

ลักษณะการเต้นเป็นการประยุกต์การเต้นรำในหลายๆ รูปแบบ เข้ากับนาฏศิลป์ ติดอยู่นิดเดียวที่ออกจะกระเดียดไปทางชวาไงไม่รู้ เลยออกจะขัดใจ เพราะอยากให้เอารำแบบไทยๆ มาประยุกต์มากกว่า

อีกอย่าง อ้น สราวุฒิ ยังหล่อเหมือนเดิมเลยละ /(^o^)

แต่โดยรวมแล้วถือว่ายอดเยี่ยมมาก ถ้าหาใครให้ไปนั่งดูอีกรอบ จะรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ทันทีเลยค่ะ (ติดที่ว่ารอสปอนเซอร์อยู่ 555)

โดยจะเปิดการแสดงทุกวัน มีมาตั้งแต่ 18 มิย.ที่ผ่านมา ซึ่งกำลังจะหมดวันที่ 28 มิย.นี้แล้ว ตอนนี้มี รอบ 14.30 และ 20.00 น. สามารถไปซื้อบัตรได้ที่หน้าโรงละคร หรือไม่ก็จองผ่านเว็บไซต์ ได้ที่นี่ ใครอยากดูต้องรีบๆ หน่อยแล้วค่ะ

หน้าโรงละครมี CD เพลงขาย สำหรับใครที่ไม่มีโอกาสได้ไปดู ลองหยิบไปฟัง ที่นี่

Tracklist:


แต่อยากขอร้องกว่า ถ้ามีโอกาสและทุนทรัพย์ กรุณาสนับสนุนเหล่าศิลปินและบรรดาผู้สร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ด้วยการอุดหนุนแผ่นหรือสินค้าของแท้บ้างนะคะ